นายนิมิต วันไชยธนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และกล่าวสดุดี เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) มหาอำมาตย์นายก ในวันโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช โดยมี นายแพทย์ศราวุฒิ ตั้งศรีสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช พร้อมคณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ
เช้าวันนี้ (๒๐ ม.ค. ๖๑) เป็นการวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท่านเจ้าพระยายมราช เนื่องในวันโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ซึ่งได้จัดงานเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา โดยพิธีการเริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๐๖.๐๐ น. เป็นพิธีบวงสรวง เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) มหาอำมาตย์นายก ณ อนุสาวรีย์ท่านเจ้าพระยายมราช เวลา ๐๙.๓๐ น. ประธานในพิธี นายนิมิต วันไชยธนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เดินทางมาถึง ประธาน จุดธูปเทียนเครื่องสักการะ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ผู้ร่วมพิธีทำความเคารพ ประธาน กล่าวสดุดี เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) พร้อมบริจาค เงิน จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท เพื่อสมทบทุนซื้อวัสดุ และ อุปกรณ์ทางการแพทย์ แก่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
ประธาน พร้อมด้วย บุตร หลาน เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) และ แขกผู้มีเกียรติ วางพวงมาลา สักการะ โดยในวันนี้ ได้รับเกียรติ จาก หัวหน้าส่วนราชการ พ่อค้า ประชาชน จำนวนมาก นำพวงมาลา ร่วมสักการะ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) พร้อมบริจาคเงิน เพื่อจัดซื้อวัสดุ ครุภัณฑ์ ทางการแพทย์ แก่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช โดยในวันนี้ ได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สมชัย นิจพานิช อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติ ร่วมพิธี
เวลา ๑๐.๐๐ น. พระสงฆ์ ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเพล และ เครื่อง ปัจจัยไทยธรรม แด่พระภิกษุสงฆ์
ในการนี้ นายแพทย์ศราวุฒิ ตั้งศรีสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช เป็นประธาน มอบรางวัล บุคลากรดีเด่น โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ประจำปี ๒๕๖๐ จำนวน ๑๐ ท่าน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ในการปฏิบัติหน้าที่
นายแพทย์ศราวุฒิ ตั้งศรีสกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี ขอขอบพระคุณ นายนิมิต วันไชยธนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายทรงพล ใจกริ่ม รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นายนพฤทธิ์ ศิริโกศล ปลัดจังหวัดสุพรรณบุรี นายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี นายอนันต์ นาคนิยม นายอำเภอเมืองสุพรรณบุรี นายเอกพันธุ์ อินทร์ใจเอื้อ นายกเทศมนตรี เมืองสุพรรณบุรี นางวณิชชา บุญธรรม รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมสมาชิกเหล่ากาชาด พร้อมภาคเอกชน ที่สนับสนุนร่วมบริจาคเงินเพื่อซื้อวัสดุ อุปกรณ์ทางการแพทย์ แก่ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ขอบคุณพ่อค้า แม่ค้า และผู้มีจิตศรัทธา ที่นำอาหารมาเลี้ยง ในบริเวณงาน ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ท้ายที่สุดขอขอบพระคุณทายาท ครอบครัวสุขุม ทุกท่านที่กรุณาให้เกียรติ ร่วมพิธีในปีนี้ ขอขอบพระคุณนายแพทย์สมชัย นิจพานิช อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ให้เกียรติร่วมพิธี
ประวัติ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) มหาอำมาตย์นายก โดยสังเขป
มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม ) เป็นชาวเมืองสุพรรณบุรี เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๑๕ กรกฎาคม ปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ สกุลเป็นคหบดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ บ้านน้ำตก ริมแม่น้ำฟากตะวันออกข้างใต้ตัวเมืองสุพรรณ บิดาชื่อกลั่น มารดาชื่อผึ้ง มีพี่น้องร่วมมารดา ๕ คน ตามลำดับดังนี้
ฉาย (พี่ชาย) ได้เป็นที่หลวงเทพสุภา กรมการเมืองสุพรรณบุรี
นิล (พี่หญิง) เป็นภรรยาหลวงแก้วสัสดี (ดี สุวรรณศร) กรมการเมืองสุพรรณบุรี
หมี (พี่ชาย) ได้เป็นที่พระยาสมบัติภิรมย์ กรมการเมืองสงขลา
คล้ำ (พี่ชาย) ได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่หนึ่งในตำบลน้ำตก
หยา (พี่หญิง) เป็นภรรยาหลวงจ่าเมือง (สังข์ พิชัย) กรมการเมืองสุพรรณบุรี
ตัวเจ้าพระยายมราชเป็นน้องคนสุดท้องชื่อ ปั้น เมื่อเป็นเด็กอายุได้ ๕ ขวบ บิดามารดาพาเจ้าพระยายมราชไปเรียนหนังสือที่วัดประตูสาร ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอท่าพี่เลี้ยง (อำเภอเมืองสุพรรณบุรี) จังหวัดสุพรรณบุรี เรียนอยู่ได้ไม่ถึงปี มีงานทำบุญในสกุล ได้นิมนต์พระใบฎีกาอ่วม วัดหงส์รัตนาราม จังหวัดธนบุรี ไปเทศน์ที่วัดประตูสาร บิดามารดาจึงถวายเด็กชายปั้นให้เป็นศิษย์ เป็นเสมือนใส่กัณฑ์เทศน์
พระใบฎีกาอ่วมจึงพาเด็กชายปั้นไปจากเมืองสุพรรณ เมื่อพ.ศ. ๒๔๑๑ ขณะนั้นเด็กชายปั้นอายุได้ ๖ ขวบ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ยินได้ฟังจากเครือญาติของเจ้าพระยายมราช ซึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรกรมการเมืองสุพรรณบุรีว่า เจ้าพระยายมราช เป็นบุตรคนสุดท้องมิใคร่มีใครเอาใจใส่นำพานัก บิดามารดาจึงใส่กัณฑ์เทศน์ถวายพระเข้ากรุงเทพฯ ก็มิได้คิดว่าเป็นเด็กชายปั้นจะมาเป็นคนดี มีบุญล้ำของเหล่ากอถึงเพียงนี้
พระใบฎีกาอ่วมจึงพาเด็กชายปั้นไปจากเมืองสุพรรณ เมื่อพ.ศ. ๒๔๑๑ ขณะนั้นเด็กชายปั้นอายุได้ ๖ ขวบ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ยินได้ฟังจากเครือญาติของเจ้าพระยายมราช ซึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรกรมการเมืองสุพรรณบุรีว่า เจ้าพระยายมราช เป็นบุตรคนสุดท้องมิใคร่มีใครเอาใจใส่นำพานัก บิดามารดาจึงใส่กัณฑ์เทศน์ถวายพระเข้ากรุงเทพฯ ก็มิได้คิดว่าเป็นเด็กชายปั้นจะมาเป็นคนดี มีบุญล้ำของเหล่ากอถึงเพียงนี้
ถ้าหากเจ้าพระยายมราชเกิดเป็นลูกหัวปีจะเป็นทายาท ของสกุล บิดามารดาจะถนอมเลี้ยงไว้ที่เมืองสุพรรณจนเติบใหญ่ อย่างมากเจ้าพระยายมราชจะได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน สูงกว่านั้นก็ได้เป็นกรมการ เช่นหลวงเทพสุภาพี่ชาย หรืออย่างดีที่สุดเป็นพระสุนทรสงคราม ผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณเท่านั้น จะไม่ได้เป็นเจ้าพระยายมราชตลอดชีวิต " ข้อที่ท่านเกิดเป็นลูกคนสุดท้องไม่มีใครหวงแหน ใส่กัณฑ์เทศน์ ถวายพระพาเข้ากรุงเทพฯนั้น ควรนับว่าบุญบันดาลให้ท่านเข้าสู่ต้นทางที่ จะดำเนินไปจนถึงได้เป็นรัฐบุรุษวิเศษคนหนึ่งในสมัยของท่าน "
เจ้าพระยายมราชเป็นลูกศิษย์พระใบฎีกาอ่วมอยู่ ๖ ปี พระใบฎีกาอ่วมเอาใจใส่ธุระระวังสั่งสอนผิดกับลูกศิษย์วัดคนอื่น ๆ เด็กชายปั้นมีกิริยา มารยาทเรียบร้อยผิดกว่าชาวบ้านนอก ส่อให้เห็นว่าท่านได้รับการอบรมมาจากครูบาอาจารย์ที่ดี เรียนเพียง ก.ข. และ นะโมที่วัดประตูสาร จังหวัดสุพรรณบุรีเท่านั้น ความรู้ทั้งหมดได้จากวัดหงส์รัตนารามทั้งสิ้น เพียงอายุได้ ๑๓ ขวบ ก็สามารถเป็นครูสอนคนอื่นได้ นับว่าเป็นอัจฉริยะ คนหนึ่ง ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๑๗ อายุได้ ๑๓ ปี ญาติรับกลับไปโกนจุกที่เมืองสุพรรณ แล้วส่งกลับไปอยู่ที่ วัดหงส์รัตนารามกับพระใบฎีกาอ่วมตามเดิม
พ.ศ. ๒๔๑๘ จึงบรรพชาเด็กชายปั้นเป็นสามเณรเล่าเรียนวิชาต่อไปอีก ๗ พรรษา คือเรียนเสขิยวัตรกับท่องจำคำไหว้พระสวดมนต์ เรียนหนังสือขอม และหัดเทศน์มหาชาติสำหรับไปเทศน์โปรดญาติโยม เจ้าพระยายมราช เสียงดี อาจารย์ให้เทศน์กัณฑ์มัทรีและให้เรียนภาษามคธ
เริ่มด้วยคัมภีร์ "มูล " คือไวยากรณ์ภาษามคธ แล้วเรียนคัมภีร์พระธรรมบท เรียกว่า" ขึ้นคัมภีร์ " เพื่อเข้าสอบเปรียญสนามหลวง โดยไปเรียนกับ สำนักอาจารย์เพ็ญ กับพระยาธรรมปรีชา (บุญ) และสมเด็จพระวันรัต(แดง) วัดสุทัศน์เทพวนาราม ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะอาจารย์สอน ในขณะนั้น
เริ่มด้วยคัมภีร์ "มูล " คือไวยากรณ์ภาษามคธ แล้วเรียนคัมภีร์พระธรรมบท เรียกว่า" ขึ้นคัมภีร์ " เพื่อเข้าสอบเปรียญสนามหลวง โดยไปเรียนกับ สำนักอาจารย์เพ็ญ กับพระยาธรรมปรีชา (บุญ) และสมเด็จพระวันรัต(แดง) วัดสุทัศน์เทพวนาราม ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะอาจารย์สอน ในขณะนั้น
พ.ศ. ๒๔๒๕ เจ้าพระยายมราชอายุได้ ๒๑ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดหงส์รัตนาราม สมเด็จพระวันรัต (แดง) เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. ๒๔๒๖ เข้าสอบปริยัติธรรม ณ สนามพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ทางคณะมหาเถระวิตกกันว่าจะไม่มีใครสามารถสอบได้ วันแรกภิกษุสามเณรเข้าแปล ๔ องค์ตกหมด เป็นเช่นนั้นมาหลายวัน จนถึงกำหนดพระปั้นวัดหงส์เข้าแปล
วันแรกได้ประโยค ๑ ก็ไม่มีใครเห็นว่าแปลกประหลาด เพราะผู้ที่สอบตกมาก่อนก็สอบได้ พอแปลประโยคที่ ๒ ก็มีคนเริ่มกล่าวขวัญกันบ้าง ถึงวันแปลประโยคที่ ๓ เป็นวันตัดสินว่าจะได้หรือไม่ จึงมีคนไปฟังกันมาก ทั้งภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ พอแปลได้ประโยคที่ ๓ พระมหาเถระพากันยิ้มแย้มยินดี เพราะเพิ่งได้เปรียญองค์แรก จึงเรียก "มหาปั้น" ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
วันแรกได้ประโยค ๑ ก็ไม่มีใครเห็นว่าแปลกประหลาด เพราะผู้ที่สอบตกมาก่อนก็สอบได้ พอแปลประโยคที่ ๒ ก็มีคนเริ่มกล่าวขวัญกันบ้าง ถึงวันแปลประโยคที่ ๓ เป็นวันตัดสินว่าจะได้หรือไม่ จึงมีคนไปฟังกันมาก ทั้งภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ พอแปลได้ประโยคที่ ๓ พระมหาเถระพากันยิ้มแย้มยินดี เพราะเพิ่งได้เปรียญองค์แรก จึงเรียก "มหาปั้น" ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ตอนที่เจ้าพระยายมราชเป็นพระภิกษุเรียนปริยัติธรรมกับมหาธรรมปรีชา (บุญ) สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นธุระ จัดภัตตาหารมาถวายพระเณร ที่มาเรียนกับพระยาธรรมปรีชา (บุญ) ทุกวัน จนเป็นที่คุ้นเคยกับ พระภิกษุปั้น เวลาพระภิกษุปั้นเข้าสอบ ปริยัติธรรมสนามหลวง สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังได้ปลอบใจพระภิกษุปั้นว่า อย่าได้หวาดหวั่นและทรงแสดงความยินดีเมื่อสอบได้เปรียญธรรมประโยค จากนั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ไม่ได้พบกับ มหาปั้นอีกเลยเป็นเวลาเดือนกว่า
ต่อมาคืนหนึ่งเวลา ๒๐ นาฬิกา พระมหาปั้นไปหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่โรงทหารมหาดเล็ก นำต้นไม้ดัดปลูก ในกระถางไปด้วย ๑ ต้น บอกว่าจะมาลาสึก และเมื่อสึกแล้วจะขอถวายตัวอยู่กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สมเด็จฯ ทรงตรัสว่า "เมื่อได้อุตส่าห์พากเพียรเรียนพระไตรปิฎก มาจนได้เป็นเปรียญมีชื่อเสียงแล้ว ไฉนจะสึกตั้งแต่ยังไม่ได้รับพระราชทานพัดยศ" พระมหาปั้น ตอบว่า "ท่านสิ้นอาลัยในการเป็นสมณะ ได้ปลงใจตั้งแต่ก่อนเข้าแปลปริยัติธรรมว่าจะสึก ที่เข้าแปลด้วยประสงค์จะบำเพ็ญกุศล อุทิศสนองบุญท่าน ผู้เป็นครูอาจารย์มาแต่หนหลัง นึกว่าพอแปลแล้วจะตกหรือได้ก็จะสึกอยู่นั้นเอง"
สมเด็จฯ ทรงตรัสว่า "เมื่อได้อุตส่าห์พากเพียรเรียนพระไตรปิฎก มาจนได้เป็นเปรียญมีชื่อเสียงแล้ว ไฉนจะสึกตั้งแต่ยังไม่ได้รับพระราชทานพัดยศ" พระมหาปั้น ตอบว่า "ท่านสิ้นอาลัยในการเป็นสมณะ ได้ปลงใจตั้งแต่ก่อนเข้าแปลปริยัติธรรมว่าจะสึก ที่เข้าแปลด้วยประสงค์จะบำเพ็ญกุศล อุทิศสนองบุญท่าน ผู้เป็นครูอาจารย์มาแต่หนหลัง นึกว่าพอแปลแล้วจะตกหรือได้ก็จะสึกอยู่นั้นเอง"
วิถีชีวิตของเจ้าพระยายมราชเริ่มเปลี่ยนไปในทางใหม่อีก หากเจ้าพระยายมราชยังคงอุปสมบทอยู่บวรพระพุทธศาสนา อย่างมากก็คงเป็น พระราชาคณะ เท่านั้น นับเป็นก้าวที่สอง ที่จังหวะชีวิตของเจ้าพระยายมราชก้าวเข้าสู่หนทางแห่งความเจริญของชีวิต ทั้งนี้จักต้องมีคู่สร้างคู่สมให้การ อุปถัมภ์ค้ำจุน กันมาแต่ชาติปางก่อน โดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น ดูจะเป็นสำคัญ
เมื่อลาสิกขาบทแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ อุปสมบทไปจำวัสสาที่วัดนิเวศธรรมประวัติ ซึ่งเป็นวัดสร้างใหม่ ใกล้กับพระราชวังบางประอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายปั้นได้ตามไปอยู่กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ด้วยตลอดพรรษา จึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเริ่มเรียนรู้นิสัย ของเจ้าพระยายมราช จนเป็นที่รักใคร่กัน
เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพลาสิกขาบทแล้ว จึงให้นายปั้นถวายตัวเป็นมหาดเล็ก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ อายุ ๒๒ ปี เป็นครูในโรงเรียนพระตำหนัก สวนกุหลาบ ได้เงินเดือน ๑๖ บาท ต่อมาเลื่อนเป็นครูผู้ช่วย พำนักอยู่กับหม่อมเจ้าหญิงเปลี่ยน และหม่อมราชวงศ์หญิงเขียนที่บ้าน ซึ่งทั้งสองท่านเป็นโยมอุปถากมาตั้งแต่เป็นสามเณร
ต่อมานายปั้นได้ถวายการสอนหนังสือแด่ พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔ พระองค์ ด้วยการชักจูงของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ (กรมพระจันทบุรีนฤนาถ) พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ (กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์) พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม (กรมหลวงปราจิณกิติบดี) และพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช (กรมหลวงนครไชศรีสุรเดช)
โดยจัดห้องเรียนขึ้นต่างหากที่ท้องพระโรงของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนเป็น ๔๘ บาท นายปั้นฉลาดในการสอนไม่เหลาะแหละ ประจบลูกศิษย์ แต่ก็ไม่วางตัวจนเกินไป พระเจ้าลูกยาเธอทุกพระองค์ทรงยำเกรง โปรดมหาปั้นสนิทสนมทุกพระองค์ ต่อมาพระพุทธเจ้าหลวง ทรงโปรด ให้พระเจ้าลูกยาเธออาภากรเกียรติวงศ์ (กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) เข้าเป็นลูกศิษย์ด้วยอีกพระองค์หนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอไปศึกษาในประเทศยุโรป พระราชวินิจฉัยเห็นว่าพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๔ พระองค์ เพิ่งเรียนหนังสือไทยได้เพียงปีเดียว เกรงว่าจะลืมเสียหมด จึงโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เลือกครูไปยุโรปกับพระเจ้าลูกยาเธอหนึ่งคน ใน พ.ศ. ๒๔๒๙ ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเลือก "นายปั้น เปรียญ" ไปสอน โดยพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ให้เป็น ขุนวิจิตรวรสาส์น มีตำแหน่งในกรมอาลักษณ์ (แผนกครู)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า...คิดดูก็ชอบกลอีก ถ้าหากท่านสมัครเข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กก็ดี หรือเมื่อสมัครเป็นครูแล้ว แต่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมิได้ทรงโปรดส่งพระเจ้าลูกยาเธอ เข้าโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบเหมือนอย่างที่เคย ส่งท่านเข้ามาจากเมืองสุพรรณอีกครั้งหนึ่งน่าพิศวงอยู่...
เล่ากันว่าเจ้าพระยายมราช ชักเงินเดือนของตนเองไปจ้างครูสอนภาษาอังกฤษแก่ตัวเองด้วย เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอเสด็จกลับมากรุงเทพฯ ชั่วคราว เจ้าพระยายมราชตามเสด็จกลับมาด้วย ถึงกรุงเทพฯ ต้นปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก ชั้นที่ ๕ เป็นบำเหน็จครั้งแรก
ขณะที่กลับมานั้น หม่อมเจ้าหญิงเปลี่ยนโยมอุปถากสิ้นชีพตักษัยไปแล้ว ยังคงเหลือหม่อมราชวงศ์หญิงเขียน จึงรับไปอยู่ด้วยรับเลี้ยงเป็นอุปถากสนองคุณให้มีความสุขสบาย เมื่อถึงแก่กรรมก็จัดปลงศพให้ด้วย นับเป็นการแสดงกตเวทิตาคุณแก่ผู้มีพระคุณอันเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ
ขณะที่กลับมานั้น หม่อมเจ้าหญิงเปลี่ยนโยมอุปถากสิ้นชีพตักษัยไปแล้ว ยังคงเหลือหม่อมราชวงศ์หญิงเขียน จึงรับไปอยู่ด้วยรับเลี้ยงเป็นอุปถากสนองคุณให้มีความสุขสบาย เมื่อถึงแก่กรรมก็จัดปลงศพให้ด้วย นับเป็นการแสดงกตเวทิตาคุณแก่ผู้มีพระคุณอันเป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญ
ในขณะที่เจ้าพระยายมราชกลับมาเมืองไทย ได้กราบทูล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขอให้เป็นแม่สื่อไปสู่ขอลูกสาว พระยาชัยวิชิต ซึ่งขณะนั้นเป็นหลวงวิเศษสาลี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กระดากใจเพราะอายุเท่ากัน จึงไปวานให้พระมารดา ของท่านไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอนางสาวตลับ ธิดาคนโตของหลวงวิเศษสาลี ก็ไม่เป็นการขัดข้อง เมื่อแต่งงานแล้วไปอยู่ยุโรปด้วยกัน เพราะพระเจ้าลูกยาเธอทั้ง ๔ พระองค์เสด็จกลับไปศึกษาต่อ
ต่อมาเจ้าพระยายมราชได้เป็นผู้ช่วยเลขานุการในสถานฑูตลอนดอน และต่อมาได้เป็นอุปฑูตสยาม ณ กรุงลอนดอน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ กลับมาเมืองไทยเป็นข้าหลวงพิเศษ จัดการปกครองจังหวัดสงขลาและพัทลุง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ และในปีนั้นเองได้เป็นสมุหเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราช
เมื่อครั้งเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต อันสืบเนื่องมาจากชื่อพระยาสุขุมนัยวินิตนั้น เนื่องมาด้วย พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราชวินิจฉัยว่า ท่านเป็นคนที่มีสติปัญญาอย่างสุขุม สามารถทำการได้ด้วยการผูกน้ำใจคน ไม่ชอบใช้อำนาจด้วยอาญา ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น เวลานั้นท่านเป็นเจ้าพระยายมราชแล้ว กราบบังคมทูลขอพระราชทานคำ "สุขุม" เป็นนามสกุล
เมื่อครั้งเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต อันสืบเนื่องมาจากชื่อพระยาสุขุมนัยวินิตนั้น เนื่องมาด้วย พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราชวินิจฉัยว่า ท่านเป็นคนที่มีสติปัญญาอย่างสุขุม สามารถทำการได้ด้วยการผูกน้ำใจคน ไม่ชอบใช้อำนาจด้วยอาญา ซึ่งต่อมาในรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น เวลานั้นท่านเป็นเจ้าพระยายมราชแล้ว กราบบังคมทูลขอพระราชทานคำ "สุขุม" เป็นนามสกุล
พ.ศ. ๒๔๔๙ พระยาสุขุมนัยวินิต ย้ายเข้ามาเป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ ในชั้นแรกให้รั้งตำแหน่งเสนาบดีอยู่สองสามเดือนก่อน ว่าจะสามารถเป็นเสนาบดีได้หรือไม่ แล้วจึงทรงแต่งตั้งเป็นเสนาบดีเต็มตามตำแหน่ง กระทรวงโยธาธิการในสมัยนั้นมี 3 กรม คือกรมรถไฟ กรมไปรษณีย์-โทรเลข กรมโยธา
เฉพาะกรมรถไฟมีฝรั่งเป็นส่วนมาก และกรมไปรษณีย์ไม่เป็นปัญหาที่จะแก้ไขปรับปรุง แต่กรมโยธากำลังยุ่ง ถึงกับต้องเอาเจ้ากรมออกจากตำแหน่ง เมื่อพระยาสุขุมนัยวินิตเข้าไปเป็นเสนาบดี ต้องแก้ไขเรื่องยุ่งๆของกรมโยธา ขณะนั้นกรมโยธากำลังก่อสร้าง พระราชมณเฑียร ในหมู่พระที่นั่งอัมพรสถานมีโอกาสเข้าเผ้าพระพุทธเจ้าหลวงอยู่เสมอ และรับสั่งมาทำตาม พระราชประสงค์อยู่เนือง ๆ
บ้านเจ้าพระยายมราชในปัจจุบัน อยู่ริมแม่น้ำสุพรรณใกล้กับเชิงสะพานอาชาสีหมอกฝั่งตลาด ตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
พระพุทธเจ้าหลวงทรง หยั่งเห็นคุณอันวิเศษของพระยาสุขุมนัยวินิตยิ่งขึ้น งานใดที่รับสั่งพระยาสุขุมนัยวินิตพยายามทำการนั้นให้สำเร็จดังพระราชประสงค์ จึงเป็นเหตุให้ทรงพอพระทัยใช้สอยเจ้าพระยายมราชตั้งแต่นั้นมา เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ทรงมีพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ฝากฝังให้เจ้าพระยายมราชเป็นธุระ ช่วยดูแลพระราชฐานด้วย
ต่อมาอีก ๒ ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ย้ายจากกระทรวงโยธาธิการมาเป็นเสนาบดีกระทรวงนครบาล แต่พระพุทธเจ้าหลวงยังคงให้อำนวยการสร้าง พระราชวังดุสิตต่อไปตามเดิม ทั้งโปรดให้โอนกรมสุขาภิบาลซึ่งอยู่ในกระทรวงเกษตราธิการมาขึ้นกับกระทรวงนครบาลด้วย
พระยาสุขุมนัยวินิต พยายามศึกษาหน้าที่ราชการต่าง ๆ และได้สมาคมคุ้ยเคยกับข้าราชการในกระทรวงนครบาลแล้ว เริ่มดำเนินงานจัดการปกครองท้องที่ โดยใช้วิธีปกครองเมืองต่างๆในมณฑลกรุงเทพฯ อย่างเดียวกับหัวเมือง ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย
พอดีเกิดเรื่องชาวจีนในกรุงเทพฯ ปิดร้านค้าขาย สอบถามได้ความว่า ไม่มีความเดือดร้อนอันใด เป็นเพียงแต่จีนคนหนึ่งทิ้งใบปลิวให้ปิดร้าน จึงจำต้องปิดหมายความถึงถูกบีบคั้น จะไปร้องเรียนก็ไม่ถึงจึงปิดร้านเพื่อให้ทางราชการมาระงับทุกข์
พระยาสุขุมนัยวินิตจึงปรึกษากับกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ตกลงใช้อุบายให้ทหารม้า ๒ กองร้อยแยกเป็นหลายแถว เดินแถวผ่านไปตามถนนเจริญกรุงถึงบางรัก ซึ่งมีคนจีนอยู่มากคล้ายกับตรวจตรา ไม่มีใครรู้ว่าทหารม้าจะมาทำอะไร พอรุ่งขึ้นพระยาสุขุมนัยวินิตให้นายพลตะเวนสั่ง ให้จีนเปิดร้านเหมือนอย่างเดิม ทุกร้านยอมเปิดร้านกันจนหมด
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ นี้เอง ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุขุมนัยวินิต เป็นที่เจ้าพระยามีสมญาจารึกในหิรัญบัตรว่า เจ้าพระยายมราช ชาตเสนางคนรินทร มหินทราธิบดี ศรีวิชัย ราชมไหสวรรยบริรักษ์ ภูมิพิทักษ์โลกาธิกรณ์ สิงหพาหเทพยมุรธาธร ราชธานีมหาสมุหประธาน สุขุมนัยบริหารเอนกยรวมาคม สรรโพดมสุทธิศุขวัฒนาการ มหานคราภิบาลอรรคมาตยาธิบดี อภันพิริยปรากรมพาหุคชนาม ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐
เจ้าพระยายมราชรับราชการสนองพระเดชพระคุณตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ เรื่อยมาถึงรัชการที่ ๖-๗จนกระทั่งรัชกาลที่ ๘ ได้ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ ร่วมกับพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภากับกรมหมื่นอนุวัติจาตุรนต์ พ.ศ. ๒๔๗๘ ดำรงตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมกับพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา และเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน
เจ้าพระยายมราช รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยความวิริยะอุตสาหะอันแรงกล้า แม้จะป่วยไข้แต่พอทำงานได้ก็จะทำด้วยความมานะอดทน จนกระทั่งล้มเจ็บอย่างหนักครั้งใหญ่ อันเป็นครั้งสุดท้ายในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลยังประทับอยู่ในพระนคร
และเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๔๘๑ เวลา ๑๕.๐๐ น. เจ้าพระยายมราช ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบด้วยความเศร้าสลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง โปรดเกล้าฯ ให้คณะผู้สำเร็จราชการ เสด็จไปแทนพระองค์ ในการพระราชทานน้ำอาบศพ ณ บ้านศาลาแดง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานลองกุดั่นน้อย ประกอบพร้อมทั้งเครื่องเกียรติยศศพให้ ทางราชการประกาศให้ข้าราชการ ไว้ทุกข์ทั่วราชอาณาจักร มีกำหนด ๑๕ วัน ให้สถานที่ราชการลดธงกึ่งเสา ๓ วัน บรรดาสถานทูตและกงสุลต่าง ๆ ได้ให้เกียรติลดธงกึ่งเสา ๓ วันเช่นกัน และพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๘๒ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส
มหาอำมาตย์นายก มหาเสวกเอก นายพลเสือป่า นายพันเอก นายนาวาอากาศเอก[1] เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) (15 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 - 30 ธันวาคม พ.ศ. 2481) อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลอภิรัฐมนตรี เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ เสนาบดีกระทรวงนครบาล ทั้งยังเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง การประปานครหลวง การไฟฟ้ามหานคร ถนนและสะพานในกรุงเทพมหานครอีกด้วย
ท่านเจ้าพระยายมราช สมรสกับ ท่านผู้หญิงตลับ ยมราช (สกุลเดิม: ณ ป้อมเพชร์) ธิดาพระยาไชยวิชิตสิทธิศาสตรา (นาค ณ ป้อมเพชร์)กับมีภรรยาอื่น ชื่อ คุณโต (ณ ป้อมเพชร), คุณน้อม, คุณปุก ท่านมีบุตร-ธิดา ดังรายนามต่อไปนี้
1.พระยาสุขุมนัยวินิต (สวาท สุขุม) สมรสกับ คุณหญิงถนิม และ คุณหญิงพวง
-
- 1.1. นายเผ่า (แดง) สุขุม
- 1.2. นางพยอม กัลยาณมิตร
- 1.3. นางชาติตระการโกศล (สุคนธ์ ลิมปิชาติ)
- 1.4. นายณรงค์ (น้อย) สุขุม
- 1.5. นางละเอียด นาวานุเคราะห์
2.คุณไสว สุขุม (ถึงแก่กรรมแต่เล็ก)
3.คุณแปลก สุขุม (ถึงแก่กรรมแต่เล็ก)
4.หม่อมประยูร โสณกุล ณ อยุธยา ในพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร
-
- 4.1. หม่อมราชวงศ์ (หญิง) นิวัตวาร ณ ป้อมเพชร์
- 4.2. หม่อมราชวงศ์ปาณฑิตย์ โสณกุล
- 4.3. หม่อมราชวงศ์ (หญิง) สุพิชชา โสณกุล
5.หลวงพิสิฐสุขุมการ (ประพาส สุขุม) สมรสกับ คุณประยงค์ สุขุม และ คุณมาลี (กิติโกเศศ)
-
- 5.1. เรืออากาศเอก นายแพทย์กิตติประวัติ สุขุม
- 5.2. พลอากาศโทพิสิฐ สุขุม
- 5.3. นางสุภางค์ โชติกเสถียร
- 5.4. นางรจิต จันทรางศุ
- 5.5. นางศุภวาร สุขุม
- 5.6. นายตระกล สุขุม
- 5.7. นางเฉิดโฉม สุขุม
6.พระพิศาลสุขุมวิท (ประสพ สุขุม) สมรสกับ คุณผะอบ (จันเจือมาศ)
-
- 6.1. นายประสงค์ สุขุม
- 6.2. นายประเสริฐ สุขุม
- 6.3. นางประสานศรี
7.คุณประยงค์ สุขุม
8.คุณประสาท สุขุม สมรสกับ เจ้าพรรณคำ ณ เชียงใหม่
9.หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ (ประดิษฐ์ สุขุม) สมรสกับ คุณรัตนา (ล้วน) และ คุณเพิ่มศิริ อมาตยกุล
-
- 9.1. นางสุมน กรรนสูต
- 9.2. นางประจง สารกิจปรีชา
- 9.3. นายประเดิม สุขุม
- 9.4. นางประพาฬ รัตนกนก
- 9.5. นางสาวสำเนา สุขุม
- 9.6. นางสินี ช่วงสุวนิช
- 9.7. นางประดิษฐา พรรธนะแพทย์
- 9.8. นางสาวประดับ สุขุม
- 9.9. นางสาวปาริชาติ สุขุม
- 9.10. นางนฤพร เกรซ
10.คุณประวัติ สุขุม สมรสกับ คุณชำนัญ (โอสถานนท์)
-
- 10.1. นายทิพย์รักษ์ สุขุม
11.คุณเล็ก สุขุม (ถึงแก่กรรมแต่เล็ก)
12.คุณประนอม ณ นคร สมรสกับ รองเสวกตรีหยิบ ณ นคร
-
- 12.1. นายพัฒนพงษ์ ณ นคร
- 12.2. นายยุทธสาร ณ นคร
- 12.3. นางกรรณิกา อินทรสูต
- 12.4. นายน้อยอโศก ณ นคร
- 12.5. นายโยธิน ณ นคร
13.คุณหญิงประจวบ สุขุม (2453-2540:87 ปี) สมรสกับ พลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ)
-
- 13.1. นางรุจิรา อมาตยกุล
- 13.2. นายมานน พึ่งบุญ ณ อยุธยา
14.พลตำรวจตรีนิตย์ สุขุม สมรสกับ หม่อมหลวงกมลา สุทัศน์
-
- 14.1. นางวนิดา ดุละลัมพะ
- 14.2. นางสาวกาญจนา สุขุม
15.คุณปอง นิติพน สมรสครั้งแรกกับ หม่อมเจ้ารุจยากร อาภากร และครั้งที่สองกับ นายสวัสดิ์ นิติพน
-
- 15.1. หม่อมราชวงศ์รุจยา อาภากร
- 15.2. หม่อมราชวงศ์ (หญิง) จิยากร เสสะเวช
- 15.3. นายสุพน นิติพน
- 15.4. นายสุพจน์ นิติพน
16.นางประณีต ณ นคร
ศูนย์ข่าวท้องถิ่นออนไลน์ รายงาน
เรวัติ น้อยวิจิตร Hub Admin rewat.noyvijit@hotmail.com 081-9107445
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น